ประเทศอิตาลี

อิตาลีมีเนื้อที่ 116,303 ตารางไมล์ หรือ
301,225 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่เป็นคาบสมุทร
อิตาลีประกอบด้วยเกาะซาร์ดิเนียและซิซิลีด้วย พื้นที่ร้อยละ 57
เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ร้อยละ 21 เป็นป่าและภูเขา
เมืองหลวงโรม (Rome) ประชากร 2.7 ล้านคน
เมืองสำคัญ โรม มิลาน เนเปิลส์ ตูริน เจนัว
ประชากร
58.6 ล้านคน ความหนาแน่นของประชากร 193 คน ต่อ 1 ตารางกม. อัตราการเพิ่ม 0.0% มีประชากรในวัยทำงาน (workforce) 24.3 ล้านคน (โดยอยู่ในภาคบริการ 63 % ภาคอุตสาหกรรมและพาณิชย์ 32 % ภาคเกษตร 5% และว่างงาน 7.9%) เชื้อชาติ ส่วนใหญ่คืออิตาเลียน และมีชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติอื่นๆคือ เยอรมัน ฝรั่งเศส สโลเวเนีย และแอลเบเนีย
ผู้หญิงอิตาลีมีบุตรจำนวนน้อยที่สุดในสหภาพยุโรป (1.33 คน โดยเฉลี่ย)
ภาษาราชการ อิตาเลียน และมีภาษาเยอรมันเป็นภาษารอง โดยเฉพาะบริเวณแคว้น Trentino-Alto Adige ที่ติดกับออสเตรีย และภาษาฝรั่งเศสในแคว้น Valle d’Aosta นอกจากนี้ สามารถใช้ภาษาสเปนกับชาวอิตาเลียนได้ อนึ่ง ในอิตาลีมีภาษาท้องถิ่น อาทิ TUSCAN dialect
ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (98%) แต่ให้เสรีภาพทุกศาสนาอิตาลีรับรองสถานะพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการตั้งแต่มีนาคม ค.ศ. 2000
สกุลเงิน
ยูโร (Euro) เทียบเป็นเงินไทยได้ประมาณ 45 บาท
|
||||||||||||
|
||||||||||||
|
||||||||||||
|

ทางตอนเหนือของสาธารณรัฐอิตาลี มีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม แมกกิโอเร และทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากสาธารณรัฐอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล ดังนั้นจึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และนักท่องเที่ยวก็นิยมเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของอิตาลีอีกด้วย
ภูมิอากาศของประเทศอิตาลี
สภาพอากาศโดยทั่วไปแล้วอยู่ในเกณฑ์สม่ำเสมอ แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงตามเส้นรุ้ง เส้นแวง ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้1) บริเวณแถบเทือกเขา (เอลป์ [Alps / Alpi] และ อะเพนไนน์ [Apennine / Appennino]) หน้าหนาวยะเยือกและยาวนาน ส่วนหน้าร้อนจะสั้นและมีลมแรง แต่ถึงจะเป็นหน้าร้อนก็ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและบู๊ทบางไปด้วย
2) บริเวณเพียนรา พาดานา (Pianura Padana / ตอนกลางแถบมิลาน) ลักษณะอากาศจะหนาวจัดในหน้าหนาว และร้อนอบอ้าวในหน้าร้อน
3) ส่วนบริเวณอื่นๆ ของอิตาลี หน้าหนาวอากาศไม่หนาวจัด หน้าร้อนอุณหภูมิขึ้นอยู่กับลมทะเล (ส่วนมากมาจากฝั่งไทเรเนียนมากกว่าฝั่งอะเดีรยติก) ในฤดูร้อนจะร้อนจัดในแถบใต้บนเกาะชายฝั่งซิซิลีแอฟริกัน และดินแดนที่ไกลจากทะเล
อุณหภูมิเฉลี่ย
สถานที่
|
มกราคม
|
กรกฎาคม
|
มิลาน
|
5๐C
|
29๐C
|
โรม
|
11๐C
|
30๐C
|
เนเปิลส์
|
12๐C
|
29๐C
|
วัฒนธรรม
- อิตาลีมีวัฒนธรรมที่คล้ายคนเอเชียโดยให้ความเคารพนับถือผู้สูงอายุ
- การแสดงความเคารพและให้เกียรติผู้สูงอายุถือเป็นมารยาทที่ชาวอิตาเลียนชื่นชมมาก
- การมอบดอกไม้ที่เป็นการแสดงความยินดีหรือขอบคุณเมื่อได้รับเชิญเป็นแขกควรให้เป็นช่อที่จำนวน เป็นเลขคู่
-ในการทักทายกับชาวอิตาเลียนที่ยังไม่คุ้นเคยควรให้คำ “Signore”
- นำหน้าชื่อสกุลผู้ชายและ “Signora” นำหน้าชื่อสกุลผู้หญิง เมื่อแนะนำตัวหรือเรียกขานผู้นั้น
- การแสดงความเคารพและให้เกียรติผู้สูงอายุถือเป็นมารยาทที่ชาวอิตาเลียนชื่นชมมาก
- การมอบดอกไม้ที่เป็นการแสดงความยินดีหรือขอบคุณเมื่อได้รับเชิญเป็นแขกควรให้เป็นช่อที่จำนวน เป็นเลขคู่
-ในการทักทายกับชาวอิตาเลียนที่ยังไม่คุ้นเคยควรให้คำ “Signore”
- นำหน้าชื่อสกุลผู้ชายและ “Signora” นำหน้าชื่อสกุลผู้หญิง เมื่อแนะนำตัวหรือเรียกขานผู้นั้น
ในที่ทำงานและการพบปะทางธุรกิจ เราจะต้องเรียกนามสกุล จนกว่าจะได้รับอนุญาตให้เรียกชื่อต้นได้
และหากมีคำนำหน้าชื่อ จำเป็นต้องเอ่ยให้ถูกต้องทุกครั้ง
- เมื่อได้พบปะรู้จักกับคนใหม่ๆ การทักทายด้วยการจับมือเป็นเรื่องปกติ
- แต่บ่อยครั้งที่อาจนำมืออีกข้างมาจับที่แขนประกอบด้วย จึงไม่ต้องตกใจไป
และหากมีคำนำหน้าชื่อ จำเป็นต้องเอ่ยให้ถูกต้องทุกครั้ง
- เมื่อได้พบปะรู้จักกับคนใหม่ๆ การทักทายด้วยการจับมือเป็นเรื่องปกติ
- แต่บ่อยครั้งที่อาจนำมืออีกข้างมาจับที่แขนประกอบด้วย จึงไม่ต้องตกใจไป
-คนอิตาลีมักชื่นชมผู้ที่มีการศึกษา มีความสามารถ ประสบความสำเร็จในอาชีพ และให้ความสำคัญกับศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม เพลง ไวน์ เสื้อผ้า อาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย
ดังนั้นเราก็ควรจะศึกษาข้อมูลไว้บ้างหากต้องไปอาศัยอยู่ที่อิตาลี
สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ |
|
|
ข้อไม่ควรปฏิบัติ
• ไม่ควรซื้อสินค้าที่เป็นของเทียมหรือเลียนแบบ เนื่องจากกฎหมายอิตาลีกำหนดโทษปรับผู้ซื้อสินค้าดังกล่าว 10,000 ยูโร• ไม่สวมเสื้อเปิดไหล่หรือกางเกงขาสั้นเข้าสำนักวาติกันหรือโบสถ์อื่นๆ
• ไม่ควรเข้าไปชมโบสถ์หรือส่งเสียงดังในขณะมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
• ไม่ควรใช้สัญญลักษณ์มือในการสื่อภาษาหากไม่แน่ใจในความหมาย เช่น การใช้นิ้วมือ(โดยเฉพาะนิ้วกลาง)
• หลีกเลี่ยงการสนทนาที่มีความเห็นขัดแย้งทางศาสนา วัฒนธรรมและประเพณี
อาหาร
พาสต้า (อิตาลี: pasta) คือชื่อเรียกโดยรวมของอาหารอิตาเลียนประกอบด้วยเส้นที่ทำจากแป้งสาลี น้ำ และไข่ จากนั้นจึงนำมารีดเป็นแผ่นและตัดเป็นเส้น ทำให้สุกโดยการต้ม รับประทานกับซอสหลากหลายประเภท ที่มักมีส่วนประกอบหลักคือ น้ำมันมะกอก ผัก เครื่องเทศ และเนยแข็งพาสต้าชนิดต่างๆ มีดังนี้
1.สปาเกตตี้ (Spaghetti) แบบเส้นกลมยาว และมะกะโรนี (Macaroni) แบบเส้นกลมยาวมีรูกลมตรงกลาง

2.มะกะโรนีเอลโบ (Elbow Macaroni) ลักษณะเป็นหลอดโค้งๆ เหมือนข้อต่อ ยาวประมาณ 1 นิ้ว ส่วนใหญ่ใช้ต้มเป็นซุปมะกะโรนี

3.ลิงกวินี (Linguine) เป็นเส้นยาวแบนเล็กน้อย เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 1/8 นิ้วเท่านั้น กินกับซอสหอยลายขาว ซอสเพสโต(โหระพา) และซอสที่ใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบ

4.ฟูซิลี (Fusilli) แบบเส้นเกลียวสั้นเหมือนสกรู มีความหนากว่าเส้นสปาเกตตีหรือพาสต้าทั่วไป ทานกับซอสเนื้อตำรับดั้งเดิม หรือใช้กับเมนูที่เป็นพาสต้าอบกับชีสชนิดต่างๆ

ประเพณี
การแต่งงานของชาวอิตาลี
|
|
ความชั่วร้ายออกไป ส่วนเจ้าสาวก็จะต้องมีผ้าคลุมหน้า
เพื่อปกป้องเธอจากอำนาจชั่วร้าย นอกจากนั้นแล้ว
การคลุมหน้ายังบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ของพรหมจารีอีกด้วย
ส่วนหนึ่งของพิธีแต่งงานของชาวอีตาลีคือการทำให้เหยือกหรือแก้วหนึ่งใบแตก
กระจายเป็นเสี่ยงๆเพื่อที่จะเป็นตัวชี้บอกว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะครองรัก
กันเป็นเวลากี่ปี
โดยการนับจำนวนเศษแก้ว หรือกระเบื้องนั้น
สุดท้ายทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะปล่อยนกพิราบสีขาวให้เป็นอิสระ
เพื่อเป็นฤกษ์ที่ดีในการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข
ปาร์ตี้จะจัดขึ้นในรอบค่ำหลังพิธีการที่เคร่งเครียดในยามเช้า ระหว่างปาร์ตี้ตลอดค่ำคืนนี้ นอกจากจะกินเลี้ยงและดื่มไวน์แล้ว เจ้าสาวจะดำเนินการตามขนบธรรมเนียมประเพณี คือ การเวียนถุงผ้าซาตินไปรอบ ๆ งานเลี้ยง เพื่อให้แขกเหรื่อหย่อนซองที่ใส่เงินลงไปเพื่อช่วยภาระค่าใช้จ่ายในพิธีแต่งงานที่ผ่านมา เช่นเดียวกัน เจ้าบ่าวก็จะตัดเน็คไทตนเองออกเป็นชิ้น ๆเพื่อประมูลขายให้กับแขกในพิธี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปฮันนีมูน คู่รักทั้งสองก็จะขับรถสวยหรูที่ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้ทั้งคันออกไปด้วยกัน เพื่อเป็นการแสดงถึงการเดินทางสู่ชีวิตใหม่ที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ |
|
เทศกาลปาส้ม (Orange Throwing)
สถานที่สำคัญ
|
![]() |
วิหารดูโอโม่ (Duomo Cathedral)
ตั้งอยู่ที่จตุรัสกลางเมืองมิลานโบสถ์แห่งนี้เป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ที่ยิ่งใหญ่สวยงามที่สุดในอิตาลีและใหญ่เป็นอันดับ 2ของโลก โดยที่ไม่นับวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ความยาว ประมาณ 157 เมตร สามารถจุคนได้ประมาณ ถึง 40,000 คนซึ่งใช้ระยะเวลาการก่อสร้างยาวนานกว่า500ปี (ค.ศ.1386– 188)เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง |
|
![]() |
โบสถ์ซานตามาเรีย เดอ กราซี (Santa Maria delle Grazie)
โบสถ์ ซานตา มาเรีย เดล กราซี สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1465 และ 1482 ออกแบบโดย กิลฟอร์ท โครงสร้างโบสถ์แต่ดั้งเดิมนั้นปัจจุบันเหลือเพียงรูปแบบของแท่นบูชาห้อง โถงกว้าง จากหน้าประตู และ ทางเดิน ซึ่งได้ใช้ศิลปะแบบโกธิค ลอมบาร์ค เป็นต้นแบบ นับแต่ปี ค.ศ.1490 เรื่อยมา ลูโดวิโก้ สโฟซ่า ได้ให้มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบสถาปัตยกรรม เพื่อใช้เป็นสุสาน สำหรับครอบครัวของเขา ดยุคได้เล็งเห็นถึงความตั้งใจของเขาใน ซานตา มาเรีย เดอ กราซี และ เรียกงานของเขาว่าเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยเขาได้มอบหมายให้ บรามันเต้ เป็นผู้สร้าง หน้ามุข ขึ้นแทนที่ แท่นบูชา ล๊โอนาโด ได้รับมอบหมาย ให้วาดภาพอาหารมื้อสุดท้าย ขณะเดียวกัน คริสโตโฟโร โซลารี่ ได้ให้มอบหมายให้แกะสลักฝาหลุมฝังศพของลูวิโก้และแบทริสภรรยาของเขาโดยให้ อยู่เป็นศูนย์กลางของบริเวณที่ขณะคณะขับร้องยืนภายในโบสถ์ทุกวันนี้สถานที่ แห่งนี้จัดเป็นสุดยอดของงานและความอลังการของศิลปะยุคเรอเนอซองส์ ของมิลาน แม้จะถูกปรับเปลี่ยนและถูกทำลาย |
เครื่องรางองคชาต ความเชื่อของโรมโบราณ

ในสมัยโรมันโบราณมีผู้ที่เชื่อว่าเครื่องรางองคชาต
และสิ่งตกแต่งเป็นสิ่งที่ใช้กันนัยน์ตาปีศาจ
เครื่องรางดังกล่าวในภาษาละตินเรียกว่า “Fascinus” หรือ “หน่อองคชาต”
ที่มาจากคำกิริยา “Fascinare” (ต้นรากของคำว่า “Fascinate” ในภาษาอังกฤษ)
ที่แปลว่า “แช่งชัก” เช่นเดียวการใช้นัยน์ตาปีศาจ
ตัวอย่างหนึ่งของเครื่องรางดังกล่าวก็ได้แก่ “เครื่องรางคอร์นิเชลโล”
(cornicello) ที่แปลตรงตัวว่า “เขาเล็ก” ในภาษาอิตาลีสมัยใหม่เรียกว่า
“Cornetti” หรือบางที่ก็เรียกว่า “Cornuto” หรือ “Corno”
ที่ต่างก็แปลว่าเขา ซึ่งเป็นเครื่องรางรูปเขาที่บิดม้วนเล็กน้อย
เครื่องรางคอร์นิเชลโลมักจะแกะจากปะการังสีแดงหรือจากเงินหรือทอง
เขาที่ใช้เป็นทรงที่เลียนแบบเขาแกะหรือแพะ
แต่อันที่จริงแล้วบิดเหมือนเขาละมั่งแอฟริกาหรือสัตว์ตระกูลเดียวกันมากกว่า
ในบรรดาชนชาติในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนที่ไม่ใช้เครื่องยันต์ที่เป็นองค์
ชาติก็อาจจะใช้สัญลักษณ์ที่ทำด้วยมือแทนโดยการชูนิ้วชี้และนิ้วก้อย
ในลาตินอเมริกางานสลักของกำมือที่หัวแม่มือกดระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางก็
ยังใช้เป็นเครื่องรางนำโชคกันอยู่
ในหนังสือ “A History of
Oral Interpretation” (ประวัติของการตีความหมาย) โดยยูจีน บาห์น และ
มาร์กาเร็ต แอล. บาห์นกล่าวว่า
“'วัตถุประสงค์สำคัญของคำพูดคือการพิทักษ์จากนัยน์ตาปีศาจ
และแม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีบทขับสำหรับป้องกันจากความโชคร้ายในสถานการณ์
อย่างใดอย่างหนึ่ง” ที่มีสาเหตุมาจาก
“อุปกรณ์เพื่อยับยั้งความอิจฉาของจิตวิญญาณที่มีอำนาจเหนือชะตาของมนุษย์. .
.”
แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ
![]() |
เวนิส(Venice)![]() เวนิส เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก เมืองแห่งสายน้ำ เมืองแห่งสะพาน และ เมืองแห่งแสงสว่างเมืองเวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ |
โคลอสเซียม(Colloseum)

เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่ม สร้างขึ้น ในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จ ในสมัยของจักรพรรดิติตัสในคริสตศตวรรษที่1 หรือประมาณปี ค.ศ.80อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527เมตร สูง 57เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คนมีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรีเพื่อให้ ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬาและมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขัง ในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบันในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อโคลิ เซียม (Coliseum)7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain)

เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก
ชื่อ “เทรวี่” นั้นมาจากคำว่า“ตรีวิอุม” หมายถึงพบกันของถนนสามสาย
เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอค ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่
ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี
1732 การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งภายหลังการสิ้นพระชนม์สมเด็จ
สันตะปาปาที่ เออร์บัน ที่ 8ได้หยุดชะงักลง
และดำเนินการสร้างต่อมาจนแล้วเสร็จในปี 1762 รวม ใช้เวลาทั้งสิ้น 30ปี
ทางระบายน้ำ เวอร์โก้ บริเวณลานด้านหน้านั้นก่อสร้างมากว่า 2000ปี
ครั้งสมัยโรมโบราณซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่ง ตรงเวลา 19 ปี
ก่อนคริสตศักราช
รูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการที่อวดโฉมให้ผู้ไปเยือนได้ยลนั้นได้แนวคิด
จากความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเนปจูน “เทพแห่งท้องทะเล”ว่ากันว่า
หากใครที่ได้โยนเหรียญลงไปในน้ำ
เขาหรือเธอผู้นั้นจะได้กลับมาเยือนอีกในสักวัน
หอเอนปิซา (Pisa Leaning Tower)
หอ
เอนปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิชา ประเทศอิตาลี ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อน สูง 181
ฟุต มี 8 ชั้น โดยเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1174 เสร็จเมื่อปี ค.ศ.1350
ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 176 ปีสำหรับหอเอนปิชานี้
ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคที่สลักลวดลาย
ไว้สวยงามมาก ส่วนสาเหตุที่เอียงนั้นเกิดขึ้นหลังจากเมื่อสร้างเสร้จแล้ว
ฐานได้ทรุดไปข้างหนึ่ง เมื่อวัดดูปรากฏว่าเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 14
ฟุต แต่ก็ยังไม่ล้ม ยังคงเอียงอยู่เช่นทุกวันนี้ ณ
ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์
เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก หอเอนปิซา The Leaning Tower of Pisa
เป็นหอระฆังที่มีลักษณะเอียงเหมือนกับจะโค่นล้มภูเขาไฟวีสุเวียส ปอมเปอีตั้ง
อยู่ในประเทศอิตาลี ใกล้กับเมืองนาโปลี(เนเปิลส์) เหนืออ่าวเนเปิลส์
เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับเพียงแห่งเดียวในทวีปยุโรปแผ่นดินใหญ่ มีความสูง
1,281 เมตรปากปล่องมีเส้นรอบวง 1,400 เมตร ลึก 216 เมตร
การระเบิดครั้งสำคัญที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม ปี พ.ศ. 622 (ค.ศ.
79)เถ้าถ่านได้ทับถมเมืองปอมเปอีทั้งเมืองแต่การระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944)เปิดให้เที่ยวชม
ศึกษาซากฟอสซิลของมนุษย์ได้ที่นี่
ฟลอเรนซ์ (Florence)

ฟีเรนเซ หรือ ฟลอเรนซ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นตอสกานาและจังหวัดฟีเรนเซ ใน ประเทศอิตาลีระหว่าง ค.ศ. 1865 ถึง ค.ศ. 1870 ฟีเรนเซก็เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลี ฟีเรนเซตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน มีประชากรประมาณ 400,000 คนและอีก 200,000 คนในบริเวณปริมณฑล ฟีเรนเซในยุคกลางเป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน และถือกันว่าเป็นที่เกิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ตระกูลที่มีอำนาจการปกครองฟีเรนเซเป็นเวลานานคือตระกูลเมดิชิ นอกจากนั้นฟีเรนเซก็ยังมีชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ในยุคกลางฟีเรนเซเป็นที่รู้จักกันในนามว่าเอเธนส์ใจกลางเมืองเก่าของฟีเรนเซ ได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1982 (พ.ศ. 2525)
ศิลปินที่มีชื่อเสียงในอิตาลี

ลีโอนาร์โด ดา วินชี
(Leonardo da Vinci) เป็นชาวอิตาลี (เกิดที่เมืองวินชี วันที่ 15 เมษายน
พ.ศ. 1995 (ค.ศ. 1452) - เสียชีวิตที่เมืองออมบัวซ์ ในวันที่ 2 พฤษภาคม
พ.ศ. 2062 (ค.ศ. 1519)) เป็นอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นทั้ง
สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาค นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร
นักเรขาคณิต นักวาดภาพ. ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น
พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper) และ โมนา ลิซ่า (Mona Lisa)
งานของ ดา วินชี ยังสร้างคุณประโยชน์กับวิชากายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์
รวมถึงวิศวกรรมโยธา
ด้วยความที่เป็นบุรุษที่มีจิตวิญญาณที่รักในศาสตร์หลายแขนง
ลีโอนาร์โดทำให้เกิดจิตวิญญาณของสหวิทยาการในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
และกลายเป็นบุคคลสำคัญของยุคนั้น
♦ การประกาศของเทพ (Annunciation) - Galleria degli Uffizi, Florence (ค.ศ. 1473)
♦ พระแม่มารีแห่งภูผา (Virgin of the Rocks) - Mus?e du Louvre, Paris (ค.ศ. 1483)
♦ พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper) - Convent of Santa Maria delle Grazie (Refectory), Milan (ค.ศ. 1495-1498)
♦ โมนาลิซ่า หรือ Mona Lisa Mus?e du Louvre, Paris (ค.ศ. 1503-1507)
♦ นักบุญแอน พระแม่มารี และพระบุตร (Madonna and Child with St Anne and the Young St John) - National Gallery, London (ค.ศ. 1508)
♦ ชุดภาพเหมือนล้อเลียน (ค.ศ. 1490-1505)
♦ สงครามที่อานกิอารี (The Battle of Anghiari)- Mus?e du Louvre, Paris วาดจากต้นฉบับของ รูเบ็นส์ และจิตรกรนิรนาม
วรรณกรรมของอิตาลี โรมิโอกับจูเลียตและเชคสเปียร์

โรมิโอและจูเลียต (อังกฤษ: Romeo and Juliet) เป็นละครโศกนาฏกรรมประพันธ์โดย วิลเลียม เช็คสเปียร์ แต่งในปี ค.ศ. 1595 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลเป็นภาษาไทยและจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2465
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเรื่องราวความขัดแย้งของสองตระกูล คือ ตระกูล มอนตะคิว
และ คาปุเล็ต ในเมืองเวโรนา
ซึ่งระบุชัดเจนความขัดแย้งของสองตระกูลชัดเจนในตอนต้นของบทละครว่า
สองตระกูลใหญ่ซึ่งมีเกียรติยศเสมอกัน
ณ เมืองเวโรนาอันเป็นฉากแห่งเรื่องนี้
ต่างสั่งสมความแค้นมาแต่หนหลัง ก่อให้เกิดโทสะใหม่
จนญาติวงศาพากันนองเลือดทั้งสิ้น
เรื่องนี้เกิดขึ้น ณ เมืองเวโรนา ได้มี 2 ตระกูลใหญ่ คือตระกูลคาปุเล็ตและมอนตะคิวซึ่งไม่ถูกกัน

เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อโรมิโอแห่งตระกูลมอนตะคิวได้แอบแฝงกายเข้าไปในงาน เลี้ยงของตระกูลคาปุเล็ต และได้พบกับจูเลียต เพียงทั้งคู่สบตากันทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกัน แต่กลับมีอุปสรรคเพราะความบาดหมางกันของทั้ง 2 ตระกูล โรมิโอกับจูเลียตจึงได้จัดการแต่งงานแต่งงานกันอย่างลับๆ
วันหนึ่งเมอร์คิวชิโอ เพื่อนรักของโรเมโอเกิดการทะเลาะกับน้องชายของจูเลียตและน้องชายของจูเลีย ตก็ได้ฆ่าเพื่อนรักของโรเมโอตาย โรเมโอโกรธมากจึงได้พลั้งมือฆ่าน้องชายของจูเลียตตาย
โรมิโอจึงได้รับคำตัดสินให้เนรเทศออกนอกเมืองตลอดกาล จูเลียตรู้เรื่องจึงกินยาวิเศษที่ทำให้เหมือนตายแล้วแต่จริงๆ ยังไม่ตาย โรเมโอรู้เรื่องเข้าใจว่าจูเลียตตายจริงๆ จึงเสียใจมากจึงฆ่าตัวตาย พอจูเลียตรู้เรื่องจูเลียตก็ฆ่าตัวตายตามโรเมโอ บิดามารดาทั้งสองฝ่ายมากถึงก็โศกเศร้ามาก จึงตกลงจะเลิกวิวาทบาดหมางกันต่อไป