วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ของประเทศในทวีปยุโรป

ประเทศอิตาลี

ไฟล์:Flag of Italy.svg 
  อิตาลีมีเนื้อที่ 116,303 ตารางไมล์ หรือ 301,225 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่เป็นคาบสมุทร อิตาลีประกอบด้วยเกาะซาร์ดิเนียและซิซิลีด้วย พื้นที่ร้อยละ 57 เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ร้อยละ 21 เป็นป่าและภูเขา
เมืองหลวง
โรม (Rome) ประชากร 2.7 ล้านคน

เมืองสำคัญ โรม มิลาน เนเปิลส์ ตูริน เจนัว
ประชากร
58.6 ล้านคน ความหนาแน่นของประชากร 193 คน ต่อ 1 ตารางกม. อัตราการเพิ่ม 0.0% มีประชากรในวัยทำงาน (workforce) 24.3 ล้านคน (โดยอยู่ในภาคบริการ 63 % ภาคอุตสาหกรรมและพาณิชย์ 32 % ภาคเกษตร 5% และว่างงาน 7.9%) เชื้อชาติ ส่วนใหญ่คืออิตาเลียน และมีชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติอื่นๆคือ เยอรมัน ฝรั่งเศส สโลเวเนีย และแอลเบเนีย

ผู้หญิงอิตาลีมีบุตรจำนวนน้อยที่สุดในสหภาพยุโรป (1.33 คน โดยเฉลี่ย)
ภาษาราชการ อิตาเลียน และมีภาษาเยอรมันเป็นภาษารอง โดยเฉพาะบริเวณแคว้น Trentino-Alto Adige ที่ติดกับออสเตรีย และภาษาฝรั่งเศสในแคว้น Valle d’Aosta นอกจากนี้ สามารถใช้ภาษาสเปนกับชาวอิตาเลียนได้ อนึ่ง ในอิตาลีมีภาษาท้องถิ่น อาทิ TUSCAN dialect
ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (98%) แต่ให้เสรีภาพทุกศาสนาอิตาลีรับรองสถานะพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการตั้งแต่มีนาคม ค.ศ. 2000
สกุลเงิน
ยูโร (Euro)
เทียบเป็นเงินไทยได้ประมาณ 45 บาท

ประวัติศาสตร์ประเทศอิตาลี
เมืองโบราณแมกนากราเซีย
ประวัติศาสตร์อิตาลีแบ่งออกเป็น2ช่วงดังนี้ัี้
ยุคโบราณ
คาบสมุทรอิตาลีมีมนุษย์อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทเบอร์เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลตั้งแต่ เมื่อประมาณ5หมื่นปีที่แล้วและด้วยอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีอารยธรรมโบราณ กล่าวคืออารยธรรมมิโนน และไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมกรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่นๆในทวีปยุโรปใน ช่วง1,600ปีก่อนคริต์ศักราชพวกอีตรัสกัน(Etruscan) จากเอเชียไมเนอร์ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นแคว้นตอสกานาใน ปัจจุบันพร้อมกับนำอารยธรรมกรีกเข้ามาเผยแพร่ ส่วนพวกกรีกเองก็ได้เดินทางมาตั้งอาณานิคมชื่อว่า “แมกนากราเซีย” (Magna Graecia) ในตอนใต้ของอิตาลีใน 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เมืองนาโปลี จนถึงเกาะซิชิเลีย ในศตวรรษที่ 6
ก่อนคริสต์ศักราช พวกอีตรัสกันได้มีอำนาจปกครองดินแดนตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทร อิตาลีตั้งแต่หุบเขาโป จนถึงบริเวณเมืองนาโปลี และดินแดนรอบๆ กรุงโรม ขณะเดียวกันชนเผ่าอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีก็รวมตัวกันจัดตั้งเป็น “นครรัฐ” ขึ้น เพื่อต่อต้านการขยายตัวและอำนาจของพวกอีตรัสกันและกรีก ชนเผ่าที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ได้แก่พวกละติน หรือโรมัน ซึ่งเมื่อถึง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินก็ได้มีอำนาจเหนือดินแดนอิตาลีเกาะซาร์ดิเนียและซิซิเลียทั้งหมด แล้วใน 27 ปีก่อนคริสต์ศักราชโรมได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบ จักรวรรดิโดยมีจักรพรรดิออกตาเวียน (Octavian) เป็นจักรพรรดิพระองค์แรก นครหลวงแห่งนี้ได้เจริญถึงขีดสุดและสามารถขยายอำนาจปกครองอิทธิพลไปทั่วทั้ง ยุโรป และบริเวณรายรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้า และความเจริญในด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แทนกรีกที่ได้ถดถอยลง ระหว่างปี ค.ศ. 96 – 180 เป็นช่วงระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิที่ปกครอง 5 พระองค์ แต่หลังจากนั้น โรมต้องประสบปัญหาทั้งในทุกๆด้าน รวมไปถึงการรุกรานของพวกอนารยชน รวมทั้งการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยา ใน พ.ศ. 855 (ค.ศ. 312) จักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงยอมรับคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีผลให้คริสต์ศาสนามีโอกาสได้เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่อยู่ใต้อานัติของ โรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 5จักรวรรดิโรมันและกรุงโรมได้ถูกพวกอนารยชนเยอรมันเข้าปล้นสะดม ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 1019 (ค.ศ. 476) จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายก็ถูกพวกอนารยชนขับออกจากบัลลังก์นับเป็นการ สิ้นสุดจักรวรรดิโรมันตะวันตก ประวัติศาสตร์โลกสมัยโบราณ และโลกตะวันตกก็เข้าสู่ยุคกลาง
ศิลปะยุคเรอเนอซองส์
ยุคกลาง
ในช่วงต้นของยุคกลาง ดินแดนต่างๆ ในยุโรปได้ตกอยู่ในสภาวะระส่ำระส่ายที่บ้านเมืองขาดผู้นำระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมถูกทำลายแต่ในขณะเดียวกันบิชอบแห่งโรมก็ได้สามารถสถาปนา อำนาจสูงสุดในคริสตจักรซึ่งต่อมาคือ “สันตะปาปา”และสามารถจัดตั้งรัฐสันตะปาปา อีกทั้งยังเป็นผผู้สืบทอดอารยธรรมโรมันที่ยังหลงเหลืองให้คงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี แม้นครรัฐต่างๆ ในคาบสมุทรอิตาลีจะขาดเอกภาพทางการเมือง แต่นครรัฐเหล่านั้นยังเป็นศูนย์กลางของความเจริญมั่งคั่งและการฟื้นตัวของ ศิลปะและวัฒนธรรมของยุโรป ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 อิตาลีได้ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอารยธรรมกรีกและโรมัน  (ยุคเรอเนซองส์)และเป็นผู้นำของลัทธิมนุษยนิยมในขณะที่ประเทศต่างๆในยุโรป ยังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบศักดินาหรือฟิวดัลแต่เมื่อเข้าปลายคริสต์ศตวรรษ ที่ 15 อิตาลีได้ตกเป็นสมรภูมิแย่งชิอำนาจระหว่างฝรั่งเศส สเปน และออสเตรีย กล่าวคือเมื่อปี ค.ศ. 1494 พระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศสได้เปิดการโจมตีคาบสมุทร ซึ่งได้ดำเนินเรื่อยมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และการโจมตีเพื่อแย่งการเป็นเจ้าของระหว่างฝรั่งเศสและสเปน

 

          สาธารณรัฐอิตาลี ตั้งอยู่บน คาบสมุทรอิตาลี ถูกล้อมรอบด้วยทะเลในทุกๆ ด้านยกเว้นด้านเหนือ อาณาเขตทางทิศเหนือติดต่อกับ ประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และ ออสเตรีย โดยมี เทือกเขาแอลป์ กั้นแบ่ง โดยในเทือกเขามีภูเขาที่สูงที่สุดใน ทวีปยุโรป คือ ภูเขามอนต์ บรานซ์ (อิตาีลี: Monte Bianco) ตั้งอยู่ในสาธารณรัฐอิตาลี เทือกเขาที่สำคัญอีกอันคือ เทือกเขาแอพเพนไนน์ (อิตาลี: Appennini) พาดผ่านตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ มีแม่น้ำที่ยาวที่สุดในอิตาลีคือ แม่น้ำโป (Po) และ แม่น้ำไทเบอร์ ที่ไหลผ่านกรุง โรม อิตาลีมีดินแดนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำราว 25 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยที่ราบลุ่มแม่น้ำโป ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นบริเวณพื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ที่สุด อิตาลีมีเกาะมากมาย แต่เกาะที่มีขนาด ใหญ่ที่สุดคือ เกาะซิซิลี และ ซาร์เดนญา สามารถเดินทางได้โดยเรือและเครื่องบิน
          ทางตอนเหนือของสาธารณรัฐอิตาลี มีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม แมกกิโอเร และทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากสาธารณรัฐอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล ดังนั้นจึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และนักท่องเที่ยวก็นิยมเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของอิตาลีอีกด้วย 

ภูมิอากาศของประเทศอิตาลี

สภาพอากาศโดยทั่วไปแล้วอยู่ในเกณฑ์สม่ำเสมอ แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงตามเส้นรุ้ง เส้นแวง ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1)  บริเวณแถบเทือกเขา (เอลป์ [Alps / Alpi] และ อะเพนไนน์ [Apennine / Appennino]) หน้าหนาวยะเยือกและยาวนาน ส่วนหน้าร้อนจะสั้นและมีลมแรง แต่ถึงจะเป็นหน้าร้อนก็ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและบู๊ทบางไปด้วย
2)  บริเวณเพียนรา พาดานา (Pianura Padana / ตอนกลางแถบมิลาน) ลักษณะอากาศจะหนาวจัดในหน้าหนาว และร้อนอบอ้าวในหน้าร้อน
3)  ส่วนบริเวณอื่นๆ ของอิตาลี หน้าหนาวอากาศไม่หนาวจัด หน้าร้อนอุณหภูมิขึ้นอยู่กับลมทะเล (ส่วนมากมาจากฝั่งไทเรเนียนมากกว่าฝั่งอะเดีรยติก) ในฤดูร้อนจะร้อนจัดในแถบใต้บนเกาะชายฝั่งซิซิลีแอฟริกัน และดินแดนที่ไกลจากทะเล
อุณหภูมิเฉลี่ย
สถานที่
มกราคม
กรกฎาคม
มิลาน
5C
29C
โรม
11C
30C
เนเปิลส์
12C
29C

 วัฒนธรรม

- อิตาลีมีวัฒนธรรมที่คล้ายคนเอเชียโดยให้ความเคารพนับถือผู้สูงอายุ
- การแสดงความเคารพและให้เกียรติผู้สูงอายุถือเป็นมารยาทที่ชาวอิตาเลียนชื่นชมมาก
- การมอบดอกไม้ที่เป็นการแสดงความยินดีหรือขอบคุณเมื่อได้รับเชิญเป็นแขกควรให้เป็นช่อที่จำนวน   เป็นเลขคู่ 

-ในการทักทายกับชาวอิตาเลียนที่ยังไม่คุ้นเคยควรให้คำ “Signore”
- นำหน้าชื่อสกุลผู้ชายและ “Signora” นำหน้าชื่อสกุลผู้หญิง เมื่อแนะนำตัวหรือเรียกขานผู้นั้น
  ในที่ทำงานและการพบปะทางธุรกิจ เราจะต้องเรียกนามสกุล จนกว่าจะได้รับอนุญาตให้เรียกชื่อต้นได้
   และหากมีคำนำหน้าชื่อ จำเป็นต้องเอ่ยให้ถูกต้องทุกครั้ง
- เมื่อได้พบปะรู้จักกับคนใหม่ๆ การทักทายด้วยการจับมือเป็นเรื่องปกติ
- แต่บ่อยครั้งที่อาจนำมืออีกข้างมาจับที่แขนประกอบด้วย จึงไม่ต้องตกใจไป

-คนอิตาลีมักชื่นชมผู้ที่มีการศึกษา มีความสามารถ ประสบความสำเร็จในอาชีพ และให้ความสำคัญกับศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม เพลง ไวน์ เสื้อผ้า อาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย
ดังนั้นเราก็ควรจะศึกษาข้อมูลไว้บ้างหากต้องไปอาศัยอยู่ที่อิตาลี

สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ


1. คนอิตาเลียนนิยมแต่งกายสวยงามเสมอโดยเฉพาะในยามค่ำ ดังนั้นหากมีแผนจะไปนั่งรับประทานอาหารตามภัตตาคาร ก็ควรเตรียมชุดที่ดูดีสักหน่อยไปด้วยแม้นักท่องเที่ยวมักจะได้รับการยกเว้น หรือให้อภัยก็ตาม
2. การเอ่ยคำนำชื่อ เช่น ด็อกเตอร์หรือโปรเฟสเซอร์ เป็นเรื่องสำคัญดั้งนั้น หากได้รับการแนะนำให้รู้จักคนอิตาเลียนที่มีคำนำหน้าชื่อเช่นนี้ต้องเรียก เขาให้เต็มยศทุกครั้ง อย่าเรียกแต่ชื่อลอยๆ
3. เรื่องนัดหมายเวลา เป็นเรื่องไม่ซีเรียสนักในอิตาลี อาจมีการมาช้ามาสายกันได้เสมอ แต่ถ้าต้องการจะนัดหมายธุรกิจ จะต้องนัดล่วงหน้าเสมอ อย่าโผล่ไปโดยไม่ได้นัด
4. การนัดหมายคุยธุรกิจบนโต๊ะอาหาร มักจะเป็นมื้อกลางวันและพึงตระหนักไว้เลยว่าอาหารมื้อกลางวันนั้นจะยาวนาน 3-4 ชั่วโมง จึงอย่านัดหมายใครต่อในช่วงบ่าย เพราะเป็นการไม่สุภาพอย่างยิ่งที่จะเร่งรัด เจ้าภาพหรือขอตัวกลับก่อน
5. หากได้รับการเชื้อเชิญอย่างคะยั้นคะยอให้ไปร่วมรับประทานอาหาร พึงตอบรับเพราะนั่นคือการแสดงความเป็นมิตรและการให้ความสำคัญแก่คุณอย่างที่ สุด
6. ถ้าได้รับเชิญไปรับประทานอาหารที่บ้าน ควรมีดอกไม้ ไวน์ หรือช็อกโกแลตติดมือไปด้วย (อย่าเอาดอกเบญจมาศไปเด็ดขาดเพราะเป็นดอกไม้ที่ใช้เฉพาะในงานศพ)
7. อาหารอิตาเลียนนั้นหนัก เข้มข้น มีหลายคอร์ส และแต่ละคอร์สก็มาจานใหญ่ๆ ทั้งนั้น ถ้าได้รับเชิญไปตามภัตตาคารที่สั่งอาหารได้เอง อาจใช้วิธีสั่งอาหารจานแรก 2 จานแทนอาหารแรกกับอาหารจานหลัก เพราะปริมาณจะน้อยกว่า และไม่เป็นการน่าเกลียดเหมือนการขอเว้นอาหารคอร์สใดคอร์สหนึ่ง แต่ถ้าได้รับเชิญไปรับประทานอาหารที่บ้านกับครอบครัว ซึ่งมักจะเสิร์ฟอาหารในจานใหญ่ๆที่หมุนเวียนผลัดกันตักรอบๆโต๊ะ ควรตักทุกจานแต่ตักจานละน้อยๆ เพราะแต่ละบ้านจะภูมิใจในฝีมือการทำอาหารของตนเสมอ และจะทำอาหารทยอยออกมามากมายหลายจาน เกินจำนวนคอร์สปรกติ
8. เรื่องคุยที่คนอิตาเลียนโปรดปรานคือเรื่องฟุตบอล เรื่องรถสวยๆ และเรื่องครอบครัว (ประเภทว่ามีลูกกี่คน หลานกี่คน กำลังเรียนอะไรอยู่บ้าง หลานเล่นฟุตบอลเก่ง วาดรูปสวย ฯลฯ) แต่ไม่นิยมคุยเรื่องการเมือง
9. คนอิตาเลียนนิยมการสูบบุหรี่และสูบกันทั่วไปทุกหนแห่งทั้งชายและหญิง ใครที่ไม่สูบบุหรี่หรือทนควันไม่ได้จริงๆ ควรหลบเลี่ยงไปเองเพราะจะเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม

 ข้อไม่ควรปฏิบัติ

     • ไม่ควรซื้อสินค้าที่เป็นของเทียมหรือเลียนแบบ เนื่องจากกฎหมายอิตาลีกำหนดโทษปรับผู้ซื้อสินค้าดังกล่าว 10,000 ยูโร
     • ไม่สวมเสื้อเปิดไหล่หรือกางเกงขาสั้นเข้าสำนักวาติกันหรือโบสถ์อื่นๆ
     • ไม่ควรเข้าไปชมโบสถ์หรือส่งเสียงดังในขณะมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
     • ไม่ควรใช้สัญญลักษณ์มือในการสื่อภาษาหากไม่แน่ใจในความหมาย เช่น การใช้นิ้วมือ(โดยเฉพาะนิ้วกลาง)
     • หลีกเลี่ยงการสนทนาที่มีความเห็นขัดแย้งทางศาสนา วัฒนธรรมและประเพณี


อาหาร 

   พาสต้า (อิตาลี: pasta) คือชื่อเรียกโดยรวมของอาหารอิตาเลียนประกอบด้วยเส้นที่ทำจากแป้งสาลี น้ำ และไข่ จากนั้นจึงนำมารีดเป็นแผ่นและตัดเป็นเส้น ทำให้สุกโดยการต้ม รับประทานกับซอสหลากหลายประเภท ที่มักมีส่วนประกอบหลักคือ น้ำมันมะกอก ผัก เครื่องเทศ และเนยแข็ง
พาสต้าชนิดต่างๆ มีดังนี้
1.สปาเกตตี้ (Spaghetti) แบบเส้นกลมยาว และมะกะโรนี (Macaroni) แบบเส้นกลมยาวมีรูกลมตรงกลาง

2.มะกะโรนีเอลโบ (Elbow Macaroni) ลักษณะเป็นหลอดโค้งๆ เหมือนข้อต่อ ยาวประมาณ 1 นิ้ว ส่วนใหญ่ใช้ต้มเป็นซุปมะกะโรนี



3.ลิงกวินี (Linguine) เป็นเส้นยาวแบนเล็กน้อย เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 1/8 นิ้วเท่านั้น กินกับซอสหอยลายขาว ซอสเพสโต(โหระพา) และซอสที่ใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบ



4.ฟูซิลี (Fusilli) แบบเส้นเกลียวสั้นเหมือนสกรู มีความหนากว่าเส้นสปาเกตตีหรือพาสต้าทั่วไป ทานกับซอสเนื้อตำรับดั้งเดิม หรือใช้กับเมนูที่เป็นพาสต้าอบกับชีสชนิดต่างๆ



  ประเพณี

 การแต่งงานของชาวอิตาลี

 

     เนื่องจากชาวอิตาลีส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ชาวอิตาลีจึงนับถือพิธีในโบสถ์ และเชื่อในนิทานปรัมปรา เมื่อมีการกำหนดวันและเวลา ในการกระทำพิธีแต่งงานให้กับหญิงและชาย ชาวอิตาลีจะไม่จัดงานแต่งงานในเดือนพฤษภาคม และสิงหาคม เพราะถือว่าเดือนพฤษภาคม เป็นเดือนของพระแม่มารี และเดือนสิงหาคมจะทำความเจ็บป่วย และความทุกข์มาให้ ในทางตรงกันข้าม เขาจะถือว่าวันอาทิตย์เป็นวันที่มีศิริมงคลที่สุดในสัปดาห์

เจ้าบ่าวชาวอิตาลีมักจะพกเหล็กชิ้นหนึ่งติดตัว ด้วยความเชื่อที่ว่ามันจะช่วยผลัก
ความชั่วร้ายออกไป ส่วนเจ้าสาวก็จะต้องมีผ้าคลุมหน้า เพื่อปกป้องเธอจากอำนาจชั่วร้าย นอกจากนั้นแล้ว การคลุมหน้ายังบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ของพรหมจารีอีกด้วย ส่วนหนึ่งของพิธีแต่งงานของชาวอีตาลีคือการทำให้เหยือกหรือแก้วหนึ่งใบแตก กระจายเป็นเสี่ยงๆเพื่อที่จะเป็นตัวชี้บอกว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะครองรัก กันเป็นเวลากี่ปี โดยการนับจำนวนเศษแก้ว หรือกระเบื้องนั้น สุดท้ายทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะปล่อยนกพิราบสีขาวให้เป็นอิสระ เพื่อเป็นฤกษ์ที่ดีในการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข

ปาร์ตี้จะจัดขึ้นในรอบค่ำหลังพิธีการที่เคร่งเครียดในยามเช้า ระหว่างปาร์ตี้ตลอดค่ำคืนนี้ นอกจากจะกินเลี้ยงและดื่มไวน์แล้ว เจ้าสาวจะดำเนินการตามขนบธรรมเนียมประเพณี คือ การเวียนถุงผ้าซาตินไปรอบ ๆ งานเลี้ยง เพื่อให้แขกเหรื่อหย่อนซองที่ใส่เงินลงไปเพื่อช่วยภาระค่าใช้จ่ายในพิธีแต่งงานที่ผ่านมา เช่นเดียวกัน เจ้าบ่าวก็จะตัดเน็คไทตนเองออกเป็นชิ้น ๆเพื่อประมูลขายให้กับแขกในพิธี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปฮันนีมูน คู่รักทั้งสองก็จะขับรถสวยหรูที่ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้ทั้งคันออกไปด้วยกัน เพื่อเป็นการแสดงถึงการเดินทางสู่ชีวิตใหม่ที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ 

เทศกาลปาสม (Orange Throwing)


การต่อสู้่ด้วยอาหารครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศอิตาลีจัดขึ้นทุกปีที่เมือง Ivrea อาวุธที่ให้ใช้ได้อย่างเดียวก็คือ ส้ม เท่านั้น และก็เหมือนกับเทศกาลทั้งหลายของประเทศอิตาลี ที่ตอนแรกอาจจะจัดขึ้นเพื่อความสนุกอย่างเดียวแต่สุดท้ายก็กลายเป็นการแข่ง ขันสุดดุเดือด ผู้เข้าร่วมงานจะมากันเป็นทีมเพื่อต่อสู้กับฝั่งตรงข้าม และมีอยู่บ่อยครั้งที่งานเทศกาลนี้ก็กลายเป็นการไล่ล่าปาส้มใส่กลุ่มศัตรู เป้าหมายแทน  ดังนั้นงานเทศกาลนี้จึงไม่ใช่แค่งานสนุกสนานแต่ออกจะเครียดไปหน่อย และไม่เหมาะกับคนที่ต้องการมาเที่ยวเทศกาลเพื่อพักผ่อนอย่างแน่นอน ส่วนใครที่อยากเข้าร่วมเทศกาลนี้ก็ต้องเลือกว่าจะอยู่กลุ่มไหน ผู้เข้าชมจะดูได้อย่างเดียวเท่านั้นไม่อนุญาตให้ปาส้มเข้าใส่ใคร และถ้าใครอยากดูเฉยๆ ไม่อยากเจ็บตัวก็ต้องใส่หมวกสีแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นแค่คนดูเท่านั้น (มักมีนักท่องเที่ยวผู้โชคร้ายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่โผล่มาในงานนี้ด้วยและ โดนถล่มด้วยส้มเพราะไม่รู้ว่าต้องใส่หมวกสีแดงถึงจะปลอดภัย)

สถานที่สำคัญ 

               วิหารดูโอโม่

วิหารดูโอโม่ (Duomo Cathedral)
ตั้งอยู่ที่จตุรัสกลางเมืองมิลานโบสถ์แห่งนี้เป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ที่ยิ่งใหญ่สวยงามที่สุดในอิตาลีและใหญ่เป็นอันดับ 2ของโลก โดยที่ไม่นับวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ความยาว ประมาณ 157 เมตร สามารถจุคนได้ประมาณ ถึง 40,000 คนซึ่งใช้ระยะเวลาการก่อสร้างยาวนานกว่า500ปี   (ค.ศ.1386– 188)เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง

โบสถ์ซานตามาเรีย เดอ กราซี
โบสถ์ซานตามาเรีย เดอ กราซี (Santa Maria delle Grazie)
โบสถ์ ซานตา มาเรีย เดล กราซี สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1465 และ 1482 ออกแบบโดย กิลฟอร์ท โครงสร้างโบสถ์แต่ดั้งเดิมนั้นปัจจุบันเหลือเพียงรูปแบบของแท่นบูชาห้อง โถงกว้าง จากหน้าประตู และ ทางเดิน ซึ่งได้ใช้ศิลปะแบบโกธิค ลอมบาร์ค เป็นต้นแบบ นับแต่ปี ค.ศ.1490 เรื่อยมา ลูโดวิโก้ สโฟซ่า ได้ให้มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบสถาปัตยกรรม เพื่อใช้เป็นสุสาน สำหรับครอบครัวของเขา ดยุคได้เล็งเห็นถึงความตั้งใจของเขาใน ซานตา มาเรีย เดอ กราซี และ เรียกงานของเขาว่าเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยเขาได้มอบหมายให้ บรามันเต้ เป็นผู้สร้าง หน้ามุข ขึ้นแทนที่ แท่นบูชา ล๊โอนาโด ได้รับมอบหมาย ให้วาดภาพอาหารมื้อสุดท้าย ขณะเดียวกัน คริสโตโฟโร โซลารี่ ได้ให้มอบหมายให้แกะสลักฝาหลุมฝังศพของลูวิโก้และแบทริสภรรยาของเขาโดยให้ อยู่เป็นศูนย์กลางของบริเวณที่ขณะคณะขับร้องยืนภายในโบสถ์ทุกวันนี้สถานที่ แห่งนี้จัดเป็นสุดยอดของงานและความอลังการของศิลปะยุคเรอเนอซองส์ ของมิลาน แม้จะถูกปรับเปลี่ยนและถูกทำลาย

เครื่องรางองคชาต ความเชื่อของโรมโบราณ


ในสมัยโรมันโบราณมีผู้ที่เชื่อว่าเครื่องรางองคชาต และสิ่งตกแต่งเป็นสิ่งที่ใช้กันนัยน์ตาปีศาจ เครื่องรางดังกล่าวในภาษาละตินเรียกว่า “Fascinus” หรือ “หน่อองคชาต” ที่มาจากคำกิริยา “Fascinare” (ต้นรากของคำว่า “Fascinate” ในภาษาอังกฤษ) ที่แปลว่า “แช่งชัก” เช่นเดียวการใช้นัยน์ตาปีศาจ

     ตัวอย่างหนึ่งของเครื่องรางดังกล่าวก็ได้แก่ “เครื่องรางคอร์นิเชลโล” (cornicello) ที่แปลตรงตัวว่า “เขาเล็ก” ในภาษาอิตาลีสมัยใหม่เรียกว่า “Cornetti” หรือบางที่ก็เรียกว่า “Cornuto” หรือ “Corno” ที่ต่างก็แปลว่าเขา ซึ่งเป็นเครื่องรางรูปเขาที่บิดม้วนเล็กน้อย เครื่องรางคอร์นิเชลโลมักจะแกะจากปะการังสีแดงหรือจากเงินหรือทอง เขาที่ใช้เป็นทรงที่เลียนแบบเขาแกะหรือแพะ แต่อันที่จริงแล้วบิดเหมือนเขาละมั่งแอฟริกาหรือสัตว์ตระกูลเดียวกันมากกว่า

     ในบรรดาชนชาติในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนที่ไม่ใช้เครื่องยันต์ที่เป็นองค์ ชาติก็อาจจะใช้สัญลักษณ์ที่ทำด้วยมือแทนโดยการชูนิ้วชี้และนิ้วก้อย ในลาตินอเมริกางานสลักของกำมือที่หัวแม่มือกดระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางก็ ยังใช้เป็นเครื่องรางนำโชคกันอยู่

     ในหนังสือ “A History of Oral Interpretation” (ประวัติของการตีความหมาย) โดยยูจีน บาห์น และ มาร์กาเร็ต แอล. บาห์นกล่าวว่า “'วัตถุประสงค์สำคัญของคำพูดคือการพิทักษ์จากนัยน์ตาปีศาจ และแม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีบทขับสำหรับป้องกันจากความโชคร้ายในสถานการณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง” ที่มีสาเหตุมาจาก “อุปกรณ์เพื่อยับยั้งความอิจฉาของจิตวิญญาณที่มีอำนาจเหนือชะตาของมนุษย์. . .” 

แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ


เวนิส(Venice)



เวนิส เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก เมืองแห่งสายน้ำ เมืองแห่งสะพาน และ เมืองแห่งแสงสว่างเมืองเวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ


โคลอสเซียม(Colloseum)
 
เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่ม สร้างขึ้น ในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จ ในสมัยของจักรพรรดิติตัสในคริสตศตวรรษที่1 หรือประมาณปี ค.ศ.80อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527เมตร สูง 57เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คนมีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรีเพื่อให้ ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬาและมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขัง ในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบันในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อโคลิ เซียม (Coliseum)7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
 น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain) 
 
เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ “เทรวี่” นั้นมาจากคำว่า“ตรีวิอุม” หมายถึงพบกันของถนนสามสาย เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอค ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732 การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งภายหลังการสิ้นพระชนม์สมเด็จ สันตะปาปาที่ เออร์บัน ที่ 8ได้หยุดชะงักลง และดำเนินการสร้างต่อมาจนแล้วเสร็จในปี 1762 รวม ใช้เวลาทั้งสิ้น 30ปี ทางระบายน้ำ เวอร์โก้ บริเวณลานด้านหน้านั้นก่อสร้างมากว่า 2000ปี ครั้งสมัยโรมโบราณซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่ง ตรงเวลา 19 ปี ก่อนคริสตศักราช รูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการที่อวดโฉมให้ผู้ไปเยือนได้ยลนั้นได้แนวคิด จากความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเนปจูน “เทพแห่งท้องทะเล”ว่ากันว่า หากใครที่ได้โยนเหรียญลงไปในน้ำ เขาหรือเธอผู้นั้นจะได้กลับมาเยือนอีกในสักวัน

 หอเอนปิซา (Pisa Leaning Tower)

 

หอ เอนปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิชา ประเทศอิตาลี ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อน สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น โดยเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1174 เสร็จเมื่อปี ค.ศ.1350 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 176 ปีสำหรับหอเอนปิชานี้ ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคที่สลักลวดลาย ไว้สวยงามมาก ส่วนสาเหตุที่เอียงนั้นเกิดขึ้นหลังจากเมื่อสร้างเสร้จแล้ว ฐานได้ทรุดไปข้างหนึ่ง เมื่อวัดดูปรากฏว่าเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 14 ฟุต แต่ก็ยังไม่ล้ม ยังคงเอียงอยู่เช่นทุกวันนี้ ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก หอเอนปิซา The Leaning Tower of Pisa เป็นหอระฆังที่มีลักษณะเอียงเหมือนกับจะโค่นล้มภูเขาไฟวีสุเวียส ปอมเปอีตั้ง อยู่ในประเทศอิตาลี ใกล้กับเมืองนาโปลี(เนเปิลส์) เหนืออ่าวเนเปิลส์ เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับเพียงแห่งเดียวในทวีปยุโรปแผ่นดินใหญ่ มีความสูง 1,281 เมตรปากปล่องมีเส้นรอบวง 1,400 เมตร ลึก 216 เมตร การระเบิดครั้งสำคัญที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม ปี พ.ศ. 622 (ค.ศ. 79)เถ้าถ่านได้ทับถมเมืองปอมเปอีทั้งเมืองแต่การระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944)เปิดให้เที่ยวชม ศึกษาซากฟอสซิลของมนุษย์ได้ที่นี่

ฟลอเรนซ์ (Florence)
ไฟล์:Collage Firenze.jpg
ฟีเรนเซ หรือ ฟลอเรนซ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นตอสกานาและจังหวัดฟีเรนเซ ใน ประเทศอิตาลีระหว่าง ค.ศ. 1865 ถึง ค.ศ. 1870 ฟีเรนเซก็เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลี ฟีเรนเซตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน มีประชากรประมาณ 400,000 คนและอีก 200,000 คนในบริเวณปริมณฑล ฟีเรนเซในยุคกลางเป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน และถือกันว่าเป็นที่เกิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ตระกูลที่มีอำนาจการปกครองฟีเรนเซเป็นเวลานานคือตระกูลเมดิชิ นอกจากนั้นฟีเรนเซก็ยังมีชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ในยุคกลางฟีเรนเซเป็นที่รู้จักกันในนามว่าเอเธนส์ใจกลางเมืองเก่าของฟีเรนเซ ได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1982 (พ.ศ. 2525)

ศิลปินที่มีชื่อเสียงในอิตาลี

 
 ลีโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) เป็นชาวอิตาลี (เกิดที่เมืองวินชี วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 1995 (ค.ศ. 1452) - เสียชีวิตที่เมืองออมบัวซ์ ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2062 (ค.ศ. 1519)) เป็นอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นทั้ง สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาค นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ. ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper) และ โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) งานของ ดา วินชี ยังสร้างคุณประโยชน์กับวิชากายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ รวมถึงวิศวกรรมโยธา ด้วยความที่เป็นบุรุษที่มีจิตวิญญาณที่รักในศาสตร์หลายแขนง ลีโอนาร์โดทำให้เกิดจิตวิญญาณของสหวิทยาการในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และกลายเป็นบุคคลสำคัญของยุคนั้น

 ผลงาน

♦ การประกาศของเทพ (Annunciation) - Galleria degli Uffizi, Florence (ค.ศ. 1473)
♦ พระแม่มารีแห่งภูผา (Virgin of the Rocks) - Mus?e du Louvre, Paris (ค.ศ. 1483)
♦ พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper) - Convent of Santa Maria delle Grazie (Refectory), Milan (ค.ศ. 1495-1498)
♦ โมนาลิซ่า หรือ Mona Lisa Mus?e du Louvre, Paris (ค.ศ. 1503-1507)
♦ นักบุญแอน พระแม่มารี และพระบุตร (Madonna and Child with St Anne and the Young St John) - National Gallery, London (ค.ศ. 1508)
♦ ชุดภาพเหมือนล้อเลียน (ค.ศ. 1490-1505)
♦ สงครามที่อานกิอารี (The Battle of Anghiari)- Mus?e du Louvre, Paris วาดจากต้นฉบับของ รูเบ็นส์ และจิตรกรนิรนาม

วรรณกรรมของอิตาลี โรมิโอกับจูเลียตและเชคสเปียร์

 
โรมิโอและจูเลียต (อังกฤษ: Romeo and Juliet) เป็นละครโศกนาฏกรรมประพันธ์โดย วิลเลียม เช็คสเปียร์ แต่งในปี ค.ศ. 1595 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลเป็นภาษาไทยและจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2465
        เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเรื่องราวความขัดแย้งของสองตระกูล คือ ตระกูล มอนตะคิว และ คาปุเล็ต ในเมืองเวโรนา ซึ่งระบุชัดเจนความขัดแย้งของสองตระกูลชัดเจนในตอนต้นของบทละครว่า
สองตระกูลใหญ่ซึ่งมีเกียรติยศเสมอกัน
ณ เมืองเวโรนาอันเป็นฉากแห่งเรื่องนี้
ต่างสั่งสมความแค้นมาแต่หนหลัง ก่อให้เกิดโทสะใหม่
จนญาติวงศาพากันนองเลือดทั้งสิ้น

เรื่องนี้เกิดขึ้น ณ เมืองเวโรนา ได้มี 2 ตระกูลใหญ่ คือตระกูลคาปุเล็ตและมอนตะคิวซึ่งไม่ถูกกัน

        เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อโรมิโอแห่งตระกูลมอนตะคิวได้แอบแฝงกายเข้าไปในงาน เลี้ยงของตระกูลคาปุเล็ต และได้พบกับจูเลียต เพียงทั้งคู่สบตากันทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกัน แต่กลับมีอุปสรรคเพราะความบาดหมางกันของทั้ง 2 ตระกูล โรมิโอกับจูเลียตจึงได้จัดการแต่งงานแต่งงานกันอย่างลับๆ 
        วันหนึ่งเมอร์คิวชิโอ เพื่อนรักของโรเมโอเกิดการทะเลาะกับน้องชายของจูเลียตและน้องชายของจูเลีย ตก็ได้ฆ่าเพื่อนรักของโรเมโอตาย โรเมโอโกรธมากจึงได้พลั้งมือฆ่าน้องชายของจูเลียตตาย
        โรมิโอจึงได้รับคำตัดสินให้เนรเทศออกนอกเมืองตลอดกาล จูเลียตรู้เรื่องจึงกินยาวิเศษที่ทำให้เหมือนตายแล้วแต่จริงๆ ยังไม่ตาย โรเมโอรู้เรื่องเข้าใจว่าจูเลียตตายจริงๆ จึงเสียใจมากจึงฆ่าตัวตาย พอจูเลียตรู้เรื่องจูเลียตก็ฆ่าตัวตายตามโรเมโอ บิดามารดาทั้งสองฝ่ายมากถึงก็โศกเศร้ามาก จึงตกลงจะเลิกวิวาทบาดหมางกันต่อไป
 

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก


ภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

http://postjung.com/member/keep-img/data/200811/49190b2e0f30a.jpg 



     ภาพวาดชื่อ Mona Lisa (เมื่อปี 1503-1507) โดยศิลปินที่มีชื่อของโลก Leonardo    da Vinci ในปัจจุบันภาพเขียน Mona Lisa อยู่ในความครอบครบของรัฐบาลฝรั่งเศสและแขวนไว้ที่พิพิธภัณฑ์ the Musee du Louvreในกรุงปารีส โดยมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาซึ่งติดกระจกกันกระสุนไว้หลายชั้น ประมาณกันว่าภาพนี้มีมูลค่า 690 ล้านเหรียญสหรัฐโดยคิจากมูลค่าที่บริษัทประกันให้ไว้ในปี 1962 ที่ราคา 100 ล้านเหรียญสหรัฐ  (คิดปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อจนถึงมูลค่าปัจจุบัน)


  Portrait of Dr. Gachet by Vincent van Gogh ($116,790,000)

ผู้ที่ซื้อภาพนี้ไปคือนาย Ryoei Saito มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1990 ด้วยวงเงินสูงถึง $ 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ภาพเหมือนของ Dr. Gachet ถูกวาดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 1890 โดย Vincent van Gogh จิตรกรยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ชาวดัทช์

นาย Ryoei Saito ได้ประกาศสิ่งที่ช็อควงการศิลปะโลกเมื่อเขากล่าวว่าเขาปรารถนาที่จะเผารูป เขียนของ Vincent van Gogh ให้ตายไปพร้อมกันกับเขา แต่ต่อมาเขาได้อธิบายว่าเป็นแค่การพูดเปรียบเปรยเท่านั้น เพื่อบอกว่าเขามีความชื่นชมภาพเขียนชั้นยอดรูปนี้เพียงใด ซึ่งนาย Ryoei Saito ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 1996 Vincent van Gogh ได้เขียนรูปเหมือนของ ไว้ 2 รูปด้วยกัน โดยใช้สีสันต่างกันเล็กน้อย ซึ่งอีกภาพนั้นจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส 

 

 Bal au moulin de la Galette by Pierre-Auguste Renoir ($110,420,000)

Bal au moulin de la Galette ภาพเขียนที่วาดขึ้นในปี 1876 โดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส Pierre-Auguste Renoir ภาพนี้มีด้วยกัน 2 รูป และเป็นชื่อเดียวกันด้วย ภาพใหญ่กว่าจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส ส่วนภาพเล็กถูกประมูลขายไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1990 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่สถาบัน ในกรุงนิวยอร์ค ให้กับนาย Ryoei Saito ซึ่งซื้อไปพร้อมกับภาพเหมือนของ Dr. Gachet ซึ่งภาพ Bal au moulin de la Galette ก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับภาพเขียนของ Vincent van Gogh เช่นกัน


Garcon a la Pipe by Pablo Picasso ($106,910,000)
Garcon a la Pipe (Boy with a Pipe) ภาพเขียนของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1905 อยู่ในช่วง 24 ปีของยุค Rose Period ที่มีชื่อเสียงของเขา เป็นยุคที่เขานิยมใช้สีส้มและชมพูในการเขียนภาพ สีน้ำมันบนผืนผ้าใบแสดงเด็กชายชาวปารีสคนหนึ่งกำลังถือไปป์ในมือซ้าย

ใน วันที่ 5 พฤษภาคม 2004 ภาพนี้ถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 104.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค หลังจากที่ทางสถาบันได้ตีราคาประเมินไว้ที่ $ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาขายที่ออกมาได้สร้างความประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากภาพนี้ไม่ได้วาดขึ้นในยุค Cubism ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Picasso นักวิจารณ์ศิลปะหลายคนกล่าวว่ามูลค่าที่สูงลิ่วของภาพนี้มีมาจากชื่อเสียง ของตัวศิลปินเอง มากกว่าคุณค่าความงามหรือความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในตัวภาพเอง

 




 
Massacre of the Innocents by Peter Paul Rubens ($77,927,000)
ภาพ เขียนฝีมือของ Peter Paul Rubens จิตรกรเอกชาวเฟลมมิช ซึ่งวาดภาพนี้ขึ้นในปี 1611 เป็นภาพเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาภาพเขียนทั้ง 10 รูป ผู้ที่ซื้อไปคือนาย Kenneth Thomson (บารอน ทอมสันที่ 2 แห่ง Fleet) ด้วยราคาสูงถึง 49.5 ล้านปอนด์ ($ 76.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในการประมูลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2002 ที่สถาบัน Sotheby

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เพลง Vincent (Starry, Starry Night)

 เนื้อเพลง Vincent (Starry, Starry Night)



Starry, starry night
Paint your palette blue and grey
Look out on a summer's day
With eyes that know the darkness in my soul
Shadows on the hills
Sketch the trees and daffodils
Catch the breeze and the winter chills
In colours on the snowy linen land

Now I understand
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They did not know how
Perhaps they'll listen now

Starry, starry night
Flaming flowers that brightly blaze
Swirling clouds and violet haze
Reflect in Vincent's eyes of china blue
Colours changing hue
Morning fields of amber grain
Weathered faces lined in pain
Are soothed beneath the artists' loving hand

Now I understand
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They did not know how
Perhaps they'll listen now

For they could not love you
But still your love was true
And when no hope was left inside
On that starry, starry night
You took your life as lovers often do
But I could have told you Vincent
This world was never meant for one as beautiful as you

Like the strangers that you've met
The ragged men in ragged clothes
The silver thorn of bloody rose
Lie crushed and broken on the virgin snow

Now I think I know
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They're not listening still
Perhaps they never will...

กีฬามาราธอนและกีฬาโอลิมปิก



กีฬาโอลิมปิก
 ไฟล์:Olympic flag.svg
        กีฬาโอลิมปิก (อังกฤษ: Olympic Games, ฝรั่งเศส: les Jeux olympiques, JO) หรือโอลิมปิกส์ (อังกฤษ: Olympics) สมัยใหม่ เป็นการแข่งขันระหว่างประเทศที่สำคัญ ทั้งกีฬาฤดูร้อนและฤดูหนาว โดยมีนักกีฬาหลายพันคนเข้าร่วมการแข่งขันหลายชนิดกีฬา กีฬาโอลิมปิกถูกมองว่าเป็นการแข่งขันกีฬาที่สำคัญที่สุดของโลก โดยมีประเทศเข้าร่วมกว่า 200 ประเทศ[1] ปัจจุบัน กีฬาโอลิมปิกจัดขึ้นทุกสองปี ผลัดกันระหว่างโอลิมปิกฤดูร้อนกับโอลิมปิกฤดูหนาว หมายความว่า โอลิมปิกฤดูร้อนและโอลิมปิกฤดูหนาวจะจัดห่างกันสี่ปี การสร้างสรรค์กีฬาโอลิมปิกได้รับแรงบันดาลใจจากีฬาโอลิมปิกโบราณ ซึ่งจัดขึ้นในโอลิมเปีย กรีซ จากศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 บารอน ปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็ง ก่อตั้งคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ใน พ.ศ. 2437 นับแต่นั้น ไอโอซีกลายเป็นองค์การดูแลกระบวนการโอลิมปิก (Olympic Movement) โดยมีกฎบัตรโอลิมปิกนิยามโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ
     วิวัฒนาการของกระบวนการโอลิมปิกระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 และ 21 ได้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อกีฬาโอลิมปิกหลายประการ การปรับแก้บางอย่างรวมไปถึง การริเริ่มโอลิมปิกฤดูหนาวเพื่อแข่งขันกีฬาน้ำแข็งและฤดูหนาว กีฬาพาราลิมปิกเพื่อนักกีฬาที่มีความพิการทางร่างกาย และกีฬาโอลิมปิกเยาวชนเพื่อ นักกีฬาวัยรุ่น ไอโอซีได้ปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 20 ตามความจริง ผลคือ กีฬาโอลิมปิกได้ขยับจากลักษณะมือสมัครเล่นบริสุทธิ์ (pure amateurism) ตามแนวคิดของกูแบร์แต็ง เพื่อให้นักกีฬาอาชีพร่วมการแข่งขันได้ ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของสื่อมวลชนได้ก่อให้เกิดปัญหาการอุปถัมภ์โดยบริษัท และการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์จากกีฬาโอลิมปิก สงครามโลกนำไปสู่การยกเลิกโอลิมปิกเมื่อ พ.ศ. 2459, 2483 และ 2487 มีการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ระหว่างสงครามเย็น ซึ่งจำกัดการเข้าร่วมในโอลิมปิกเมื่อ พ.ศ. 2523 และ 2527   กระบวนการโอลิมปิกประกอบด้วยสหพันธ์กีฬาระหว่างประเทศ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ และคณะกรรมการจัดการแข่งขันของกีฬาโอลิมปิกแต่ละครั้ง เมืองเจ้าภาพเป็นผู้รับผิดชอบการจัดการแข่งขันและการจัดหาเงินทุนเพื่อสมโภช (celebrate) กีฬาตามกฎบัตรโอลิมปิก โปรแกรมโอลิมปิก ซึ่งประกอบด้วยกีฬาที่จะมีการแข่งขันในโอลิมปิก ถูกกำหนดโดยไอโอซีเช่นกัน การสมโภชกีฬาโอลิมปิกหมายรวมพิธีการและสัญลักษณ์จำนวนมาก อาทิ ธงและคบเพลิงโอลิมปิก ตลอดจนพิธีเปิดและปิด มีนักกีฬากว่า 13,000 คนเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนและฤดูหนาวใน 33 ชนิดกีฬา เกือบ 400 รายการ ผู้ที่ชนะเลิศเป็นอันดับหนึ่ง สองและสามในแต่ละรายการจะได้รับเหรียญโอลิมปิก ทอง เงินและทองแดง กระบวนการโอลิมปิก   กระบวนการโอลิมปิก (อังกฤษ: Olympic Movement) เป็นการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ ที่ใดที่หนึ่งของโลกทุก 4 ปี เป็นลำดับไป โดยไม่ขาดตอนหรือหยุดยั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่ง หรือล้มเลิกไปเหมือนอย่างในอดีตกาล รวมเข้าไปด้วย องค์กรต่างๆ นักกีฬา และ บุคคลที่เห็นด้วยกับแนวทางของกฎบัตรโอลิมปิก   กระบวนการโอลิมปิก ประกอบไปด้วยผู้ที่เห็นด้วยกับแนวทางของกฎบัตรโอลิมปิก และผู้ที่รับรองอำนาจของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (อังกฤษ: International Olympic Committee หรือ IOC) รวมไปถึง สหพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Federations หรือ IF) ของกีฬาที่มีการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก, คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ (อังกฤษ: National Olympic Committees หรือ NOCs), คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (อังกฤษ: Organising Committees of the Olympic Games หรือ OCOGs) นักกีฬา กรรมการผู้ตัดสิน และผู้ตัดสิน สมาคม ชมรม รวมไปถึงองค์กรและสถาบันที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล



โอลิมปิกสมัยโบราณ
    ก่อนหน้าคริสตกาล กว่า 1,000 ปี การแข่งขันกีฬาได้ดำเนินการกันบนยอดเขา โอลิมปัสในประเทศกรีซ โดยนักกีฬาจะต้องเปลือยกายเข้าแข่งขัน เพื่อประกวดความสมส่วนของร่างกาย และยังมีการต่อสู้บางประเภท เช่น กีฬาจำพวกมวยปล้ำ เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรง ผู้ชมมีแต่เพียงผู้ชาย ห้ามผู้หญิงเข้าชม ดังนั้นผู้ชมจะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขา ครั้นต่อมามีผู้นิยมมากขึ้น สถานที่บนยอดเขาจึงคับแคบเกินไป ไม่เพียงพอที่จุทั้งผู้เล่นและผู้ชมได้ทั้งหมด ดังนั้น ในปีที่ 776 ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกได้ย้ายที่แข่งขันลงมาที่เชิงเขาโอลิมปัส และได้ปรับปรุงการแข่งขันเสียใหม่ให้ดีขึ้น โดยให้ผู้เข้าแข่งขันสวมกางเกง พิธีการแข่งขันจัดอย่างเป็นระเบียบเป็นทางการ มีจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธาน อนุญาตให้สตรีเข้าชมการแข่งขันได้ แต่ไม่อนุญาตให้เข้าแข่งขัน ประเภทกรีฑาที่แข่งขันที่ถือเป็นทางการในครั้งแรกนี้ มี 5 ประเภท คือ วิ่ง, กระโดด, มวยปล้ำ, พุ่งแหลน และขว้างจักร ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่ง ๆ จะต้องเล่นทั้ง 5 ประเภท โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัล คือ มงกุฎที่ทำด้วยกิ่งไม้มะกอกซึ่งขึ้นอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสนั่นเอง และได้รับเกียรติเดินทางท่องเที่ยวไปทุกรัฐ ในฐานะตัวแทนของพระเจ้า
การแข่งขันได้จัด ขึ้น ณ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส ที่เดิมเป็นประจำทุก ๆ สี่ปี และถือปฏิบัติติดต่อกันมาโดยไม่เว้น เมื่อถึงกำหนดการแข่งขัน ทุกรัฐจะต้องให้เกียรติ หากว่าขณะนั้นกำลังทำสงครามกันอยู่ จะต้องหยุดพักรบ และมาดูนักกีฬาของตนแข่งขัน หลังจากเสร็จจากการแข่งขันแล้ว จึงค่อยกลับไปทำสงครามกันใหม่ ประเภทของการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างในระยะต่อ ๆ มา โดยมีการพิจารณาและลดประเภทของกรีฑาเรื่อยมา อย่างไรก็ดีในระยะแรก ๆ นี้กรีฑา 5 ประเภทดังกล่าวที่จัดแข่งขันกันในครั้งแรกก็ยังได้รับเกียรติให้คงไว้ ซึ่งเรียกกันว่า เพ็นตาธรอน หรือ ปัญจกรีฑา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงกำเนิดของกรีฑา ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่ แต่ประเภทของปัญจกรีฑาได้เปลี่ยนไปตามเวลา
การแข่งขันได้ ดำเนินติดต่อกันมานับเป็นเวลา ถึง 1,200 ปี จนมาในปี พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) จักรพรรดิธีโอดอซิดุชแห่งโรมันได้ทรงประกาศให้ยกเลิกการแข่งขันนั้นเสีย เพราะเกิดมีการว่าจ้างกันเข้ามาเล่นเพื่อหวังรางวัล และผู้เล่นปรารถนาสินจ้างมากกว่าการเล่นเพื่อสุขภาพของตน รวมทั้งมีการพนันขันต่อ อันเป็นทางวิบัติซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม คือ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายต่างก็อยากได้ช่อลอเรลซึ่งเป็นรางวัลของผู้ชนะ ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงสั่งให้ล้มเลิกการแข่งขันนี้เสีย
ตลอดระยะเวลาที่ มีการแข่งขันนั้น ได้จัดขึ้น ณ บริเวณที่แห่งเดียว คือ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส จึงเรียกการแข่งขันตามชื่อของสถานที่ว่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
การฟื้นฟูกีฬาโอลิมปิก
โอลิมปิกสมัยใหม่
หลัง จากโอลิมปิกโบราณได้ล้มเลิกไปเป็นเวลาถึง 15 ศตวรรษ โอลิมปิกยุคใหม่ก็เกิดขึ้น โดยมีนักกีฬาคนสำคัญของฝรั่งเศสชื่อ บารอน ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง ท่านขุนนางผู้นี้เกิดในกรุงปารีส เมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2406 (ค.ศ. 1863) สนใจประวัติศาสตร์ ปัญหาการเมืองและสังคม ในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) ท่านอายุได้ 26 ปี ได้เกิดความคิดที่จะฟื้นฟูการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งได้ล้มเลิกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 936 (ค.ศ.393) โดยติดต่อกับบุคคลสำคัญของประเทศอังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส เป็นเวลาถึง 4 ปี ในที่สุดได้เปิดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการขึ้น ที่ตำบลซอร์บอนน์ ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) และประกาศ ณ ที่นั้นว่า การแข่งขันโอลิมปิกซึ่งได้หยุดมานานกว่า 15 ศตวรรษ จักได้พื้นขึ้นใหม่เป็นการปัจจุบัน และแผนการของงานโอลิมปิกปัจจุบันนั้น ได้เป็นที่ตกลงกันในที่ประชุมจำนวน 15 ประเทศ ณ ตำบลซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส
คณะ กรรมการผู้ริเริ่ม ได้ลงมติว่า ให้ทำการเปิดการแข่งขันโอลิมปิกปัจจุบันขึ้น โดยกำหนด 4 ปีต่อ 1 ครั้ง โดยให้ประเทศสมาชิกหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ แต่การเปิดแข่งขันครั้งแรกให้เริ่ม ณ กรุงเอเธนส์ ใน พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการกำเนิดกีฬาโอลิมปิกเมื่อครั้งโบราณ จากนั้นเป็นต้นมา การแข่งขันและวิธีเล่นกรีฑาก็พัฒนาไปอย่างกว้างขวาง และการแข่งขันทุก ๆ ครั้ง ให้ถือเอากรีฑาเป็นกีฬาหลัก ซึ่งจะขาดเสียมิได้ในการแข่งขันแต่ละครั้ง
 เจ้าภาพ
การกำหนดว่าประเทศใดจะได้เป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไปนั้น กระทำขึ้น ณ สถานที่ที่การแข่งขันครั้งล่าสุดดำเนินอยู่นั้นเอง คณะกรรมการโอลิมปิกสากลจะพิจารณาบรรดาประเทศสมาชิกที่เสนอขอจัด และมีอำนาจเด็ดขาดที่จะลงมติให้ประเทศใดเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการในวันพิธีเปิดการแข่งขันครั้งล่าสุดนั้น ประเทศที่ได้รับพิจารณาให้เป็นเจ้าภาพถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้ รับความไว้วางใจ อันก่อให้เกิดความภาคภูมิใจต่อปวงชนทั้งประเทศ

สมาชิก
ในปัจจุบัน ประเทศทั่วโลกเป็นสมาชิกโอลิมปิก 197 ประเทศ แต่บางประเทศไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน เพราะเป็นประเทศเล็ก ขาดความพร้อมในเรื่องตัวนักกีฬา ท่านบารอน ปิแอร์เดอ ดูเบอร์แตง ได้ให้นิยามการเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกว่า ผู้เข้าร่วมการแข่งขันนั้นไม่เลือกผิวพรรณ ศาสนา ลัทธิการปกครอง แต่อย่างใด ความหมายการแข่งขันเพื่อให้นักกีฬาชาติต่าง ๆ ได้มาร่วมชุมนุมกัน ตัวนักกีฬาเปรียบเสมือนทูตสันถไมตรีส่งมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ร่วมเล่นสนุกสนานด้วยความเห็นอกเห็นใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดทั้งสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน อันนำมาซึ่งความสามัคคีและเพื่อสันติภาพของโลก การแพ้หรือชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเข้าร่วม

รางวัล
รางวัลของการแข่งขันในสมัยโบราณผู้ที่ชนะจะได้รับการสรรเสริญมาก รางวัลที่ให้แก่ผู้ชนะในสมัยนั้น คือ กิ่งไม้มะกอกซึ่งตัดมาจากยอดเขาโอลิมปัส อันเป็นที่สิงสถิตของพระเจ้าซีอูซ แล้วทำเป็นวงคล้ายมงกุฎ จักรพรรดิจะเป็นผู้พระราชทานครอบลงบนศีรษะของผู้ชนะนั้น ๆ พร้อมทั้งได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ให้ชนรุ่นหลังศึกษาและชื่นชมต่อไป

สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกสมัยปัจจุบันแบ่ง รางวัลเป็นสามระดับ คือ เหรียญทอง, เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ให้แก่ผู้ชนะเลิศ, ผู้ชนะเลิศที่สอง และที่สามตามลำดับ ส่วนอันดับที่สี่ไปถึงอันดับที่หก จะได้ประกาศนียบัตรการเข้าร่วมการแข่งขัน





 

มาราธอน

 

    มาราธอน (อังกฤษ: Marathon) คือการแข่งขันวิ่งระยะ ยาว ในระยะอย่างเป็นทางการคือ 42.195 กิโลเมตร (26 ไมล์และ 385 หลา) โดยมักจะวิ่งแข่งกันบนถนน โดยการแข่งวิ่งนี้มีที่มาจากนายทหารชาวกรีกผู้ส่งข่าว ฟิดิปปิเดซ ที่ต้องวิ่งในการรบจากเมืองมาราธอนไปยังเอเธนส์ แต่ตำนานบอกเล่าก็ยังคงเป็นข้อสงสัยอยู่[ซึ่งขัดแย้งกับการบันทึกของเฮโรโดตุส เป็นส่วนใหญ่
      การแข่งขันวิ่งมาราธอนเป็นหนึ่งในกีฬาการแข่งขันโอลิมปิกสมัยใหม่ ในปี ค.ศ. 1896 ระยะทางการวิ่งยังไม่เป็นมาตรฐาน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1921  ในแต่ละปีมีนักวิ่งมาราธอนมากกว่า 500 คน ถือเป็นการแข่งขันในเวลาว่างของนักกีฬา มีการแข่งขันมาราธอนใหญ่ ๆ ที่จะมีผู้ร่วมเข้าแข่งขันถึงหมื่นคน
      การวิ่งมาราธอนนั้นเป็นกีฬาที่มีผู้นิยมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวกรีกถือว่าเป็นกีฬาที่สำคัญที่สุดและกีฬาประเภทนี้ก็กำเนิดขึ้นจากประเทศนี้นั่นเอง คือในปี 490 ก่อนคริสตกาล กองทับชาวเอเธนส์ได้ทำสงครามกับพวกเปอร์เซียที่ทุ่งมาราธอนเป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อกองทัพของเอเธนส์ได้รับชัยชนะ ทหารชื่อฟิดิปปิเดส ได้วิ่งจากทุ่งมาราธอนกลับมายังกรุงเอเธนส์ ซึ่งมีระยะทางถึง 40 กิโลเมตร เพื่อแจ้งข่าวชัยชนะในครั้งนี้ เขาวิ่งโดยไม่ได้หยุดพักเลย เมื่อถึงกรุงเอเธนส์ เขาได้ตะโกนร้องด้วยความดีใจว่า "จงยินดี เราชนะแล้ว"หลังจากนั้นเขาก็ขาดใจตาย ตำนานนี้ได้ถือว่าฟิดิปปิเดส เป็นวีรบุรุษคนหนึ่งพอถึงปี พ.ศ.2477 ได้มีการจัดประชุมผู้แทนกีฬาโอลิปปิคจากชาติต่างๆ ขึ้นและได้มีการกำหนดให้มีการวิ่งมาราธอนเป็นกีฬาชนิดหนึ่งในโอลิมปิค ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีก